คุณต่อ ICU ตั้งกระทู้ที่ 8 ของเขาดังนี้ “**ติดอาวุธทางปัญญา** กรณีธรรมกายตอนที่ 8 ปัญหาของวัดพระธรรมกาย และ พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้สาวกใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์”
โดย ต่อ ICU นำหนังสือกรณีธรรมกายของพระประยุทธ์ฉบับพิมพ์ล่าสุดลงไป 2 หน้า โดยมีหัวข้อหลักๆ ที่นำเสนอจำนวน 3 ข้อ ดังนี้
วัดพระธรรมกาย เผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น
๑) สอนว่านิพพานเป็นอัตตา
๒) สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกายที่เป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตนนิพพาน
๓) สอนเรื่องอายตนนิพพานที่ปรุงถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น
ผมขอสรุปในเบื้องต้นอีกทีว่า ที่พระรูปนี้เขียนไปนั้น “ไม่จริง” ทั้งสิ้น วิชาธรรมกายสอนถูกต้องตามพระไตรปิฎกแล้ว
พระประยุทธ์บิดเบือนทุกอย่างในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เพื่อประทังความหิว ไม่ใช่เพื่อครอบครัวที่หิวโหย ผ้าเหลืองที่ห่มอยู่ทำความอิ่มให้กับพระรูปนี้ดีอยู่แล้ว พระรูปนี้ทำเพื่อความอยากมีหน้ามีตาในสังคม เท่านั้น
ข้อที่ ๑) ที่ว่า “สอนว่านิพพานเป็นอัตตา” ผมวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว ขอให้ไปอ่านได้ที่บทความ “กระทบพระธรรมวินัย[1]” ถ้าสนใจ
ข้อที่ ๒) ที่ว่า “สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกายที่เป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตนนิพพาน” ผมวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว ขอให้ไปอ่านได้ที่บทความ “กระทบพระธรรมวินัย[2]” ถ้าสนใจ
ในบทความนี้ ผมจะวิพากษ์วิจารณ์ข้อที่ ๓) ที่ว่า “สอนเรื่องอายตนนิพพานที่ปรุงถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น”
เพื่อความสะดวกในการวิพากษ์วิจารณ์ข้อแบ่งข้อความดังกล่าวเป็นส่วนๆ ดังนี้
[1] สอนเรื่องอายตนนิพพานที่ปรุงถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่
ก่อนที่วิพากษ์วิจารณ์ต่อไป ผมขอยกตัวอย่างพระสูตรจากนิพพานสูตรเสียก่อน ดังนี้
นิพพานสูตรที่ ๑
[๑๕๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะวิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ จบสูตรที่ ๑
นิพพานสูตรที่ ๒
[๑๕๙]
ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยาก ชื่อว่านิพพาน ไม่มีตัณหา นิพพานนั้นเป็นธรรมจริงแท้ ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย ตัณหาอันบุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคล ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ ฯ จบสูตรที่ ๒
๓. นิพพานสูตรที่ ๓
[๑๖๐]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ จบสูตรที่ ๓
นิพพานสูตรทั้ง 3 พระสูตรนั้น นักปริยัติไม่มีใครโต้แย้งกัน ทุกคนเชื่อว่า “นิพพานมีอยู่” ในการแปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย ทุกคนก็ต้องใช้ศัพท์ภาษาไทย ผมในนักภาษาศาสตร์ ผมก็ว่าเป็นธรรมดา
พระรูปนี้ ก็ทำอยู่เช่นเดียวกัน ท่านทำแบบเดียวกับคนอื่นทำ คนอื่นทำผิด แต่ท่านทำ ท่านถือว่าถูก
[2] สอนเรื่องอายตนนิพพานให้เป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้
ข้อความนี้ก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อนิพพานมีอยู่ และมีพุทธพจน์ที่กล่าวว่า เราสามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้ รวมถึงเห็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้อีกด้วย ดังนี้
วักกลิสูตรว่าด้วยการเห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า
อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร? ดูกรวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม. วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม.
๑๐. อนุตตริยสูตร
[๓๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุตตริยะ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน คือ ทัสสนานุตตริยะ ๑ สวนานุตตริยะ ๑ ลาภานุตตริยะ ๑ สิกขานุตตริยะ ๑ ปาริจริยานุตตริยะ ๑ อนุสสตานุตตริยะ ๑ ฯ
.................................
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปเห็นพระตถาคต หรือสาวกพระตถาคต การเห็นนี้ยอดเยี่ยมกว่าการเห็นทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ไปเห็นพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคตนี้ เราเรียกว่า ทัสสนานุตตริยะ ทัสสนานุตตริยะเป็นดังนี้ ฯ
พระประยุทธ์ไม่เคยเห็นพระสูตรดังกล่าวหรือ
พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างชัดเจนว่า นิพพานมีอยู่ ใครปฏิบัติตามคำสอนสามารถเห็นพระองค์และเห็นสาวกของพระองค์ได้ พระองค์ยังทรงยืนยันเป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
สายวิชาธรรมกายปฏิบัติธรรมตามคำสอน เห็นพระพุทธเจ้า เห็นอายตนนิพพานก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้
พระประยุทธ์ไม่เคยปฏิบัติธรรมในรูปแบบใดๆ ยังจะมีหน้าไปวิพากษ์วิจารณ์พระปฏิบัติธรรม
[3] มีพิธีถวายข้าวพระที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้า
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คือ เราสามารถนำอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าได้ แต่วัดพระธรรมกายทำไม่ถึง มารเอากินเรียบ
คนที่ทำได้มีคนเดียวคือ คุณลุงการุณย์ บุญมานุช ผมไปร่วมพิธีกับคุณลุงที่จังหวัดจันทบุรีเดินละประมาณ 3 ครั้ง
พระประยุทธ์เคยไปสังเกตการณ์หรือไม่ ถ้าจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ควรให้เหตุผลด้วยว่า “เป็นไปไม่ได้อย่างไร”
ไม่ใช่ท่องเหมือนคนปัญญาอ่อนว่า เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่แสดงเหตุผลซะด้วย ...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบผมอ่านพุทธพจน์นี้ แล้วฟันธงได้เลยครับ ว่าวิชาธรรมกายเป็นวิชาของพระพุทธเจ้าจริง
ตอบลบมีสายปฏิบัติไหนอีก ที่สอนให้ "เห็น" "พระพุทธองค์" และ "สาวกของท่าน" บน "นิพพาน" ได้ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้บอกอีกด้วยว่า "การเห็นนี้ยอดเยี่ยมกว่าการเห็นทั้งหลาย" และยังบอกด้วยว่านิพพาน "มีอยู่"
(ยกเว้นฤาษีลิงดำ ซึ่งอ้างว่าไปนิพพานได้เหมือนกัน แต่จะไม่ได้เรื่อง "ดวงตาเห็นธรรม" เป็นอย่างไร และ เรื่อง "กายในกาย ณ ภายใน, กายในกาย ณ ภายนอก" เป็นอย่างไร ซึ่งผิดมหันต์)